วิทยาศาสตร์กับคอลลาเจน

      ลงทุนกับอาหารเสริมทั้งทีใครๆ ก็คงอยากเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ไม่งั้นจะเสียเงินเสียเวลาไปทำไม จริงมั้ย? เพราะงั้นนอกจากการทานคอลลาเจนแล้ว เราเลยอยากชวนคุณให้มาปรับไลฟ์สไตล์ควบคู่ระหว่างทดลองทานคอลลาเจนให้เห็นผลชัดเจนคุ้มค่ากับที่ได้ลงทุนไปสุด 1) ไม่ใช่แค่ทานคอลลาเจน แต่ต้องปรับอาหารมื้อหลักด้วย       ‘You are what you eat’ สุขภาพร่างกายของคุณจะเป็นอย่างไรมักขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณเลือกทาน เพราะงั้นไม่ใช่ว่าจะปรับแค่อาหารเสริมอย่างเดียวก็ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนได้เต็มที่ แต่ต้องปรับอาหารมื้อหลักด้วย โดยเน้นรับสารอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นกลุ่มอาหารขยะ น้ำตาลปริมาณมาก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ไปทำให้ร่างกายอักเสบจนคอลลาเจนถูกทำลาย 2) พักผ่อนให้ครบตามที่ร่างกายต้องการ       อาหารเสริมไม่ใช่ยาวิเศษ แม้จะเป็นคอลลาเจนเกรดดีที่สุดในโลกหรือมีคุณสมบัติดีเลิศขนาดไหน ถ้ายังพักผ่อนไม่เต็มอิ่มตามที่ร่างกายต้องการก็คงไม่สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน แถมร่างกายจะฟ้องผ่านผิวที่โทรมได้ทันตาเลยล่ะ เพราะเกิดการสร้างสารอนุมูลอิสระจนกลายเป็นเหมือนระเบิดไปโจมตีไฟโบรบลาสต์ที่สังเคราะห์คอลลาเจนโดยตรง 3) หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ      เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงจากการปรับสมดุลการไหลเวียนโลหิต เสริมภูมิคุ้มกัน ฯลฯ แล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำงานในส่วนต่างๆ รวมถึงการดูดซึมสารคอลลาเจนไปสังเคราะห์ต่อสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย 4) หลีกเลี่ยงความเครียด   […]

เคยเป็นมั้ย? จะทานอาหารเสริมทีไรก็เกิดความระแวง ทานแล้วจะปลอดภัยมั้ย? มีสารอะไรตกค้างในร่างกายระยะยาวให้เสี่ยงอันตรายรึเปล่า? เพราะอาหารเสริมบางประเภทก็ไม่ได้เหมาะกับการทานในระยะยาว บางทีก็เลยมีการปล่อยเฟคนิวส์มาโจมตีจากคนในวงการอาหารเสริมด้วยกันเอง เพื่อขายผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งที่ความจริงแล้วการทานคอลลาเจนในปริมาณเหมาะสมสามารถทานได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว แต่ถ้าใครยังกังวลบทความนี้ขอชวนทุกคนมาเก็บ 4 ข้อควรระวังที่ต้องรู้ไว้เพื่อทานคอลลาเจนได้สบายใจกัน 1) คอลลาเจนเป็นอาหารเสริมที่มีโอกาสแพ้ ต้องยอมรับว่า ด้วยความที่คอลลาเจนมักสกัดมาจากปลาทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วหลากสี พืชผักใบเขียว เห็ดชนิดต่างๆ ผักผลไม้สีแดงส้ม เอ็นหมู เอ็นวัว และกระดูกอ่อน ฯลฯ (แต่ปกติจะนิยมสกัดมาจากปลาทะเล) แม้จะสกัดมาบริสุทธิ์สูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะแพ้อยู่ตามแหล่งวัตถุดิบเดิมที่สกัดออกมา เพราะงั้นอย่าลืมสอบถามกับทางแบรนด์คอลลาเจนว่า ผลิตมาจากอะไร มีประวัติคนเคยแพ้หรือไม่ รับผิดชอบอย่างไรบ้าง ฯลฯ 2) ผู้ป่วยบางโรคไม่ควรบริโภคคอลลาเจน หากคุณเป็นคนที่มีโรคประจำตัว อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องการให้ระวังคือ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณก่อนทาน เพราะบางโรคก็อาจไม่เหมาะกับการบริโภคคอลลาเจน เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง SLE หรือ HIV, โรคธาลัสซีเมีย, โรคไวรัสตับ,  โรคไต, โรคลิ่มเลือดหัวใจ เป็นต้น เพราะอาจกระทบกับแผนการรักษา อย่างการใช้ยา หรือสร้างอันตรายแก่สุขภาพกายได้เลยทีเดียว 3) ห้ามทานเกินปริมาณที่กำหนด อย่างที่เราได้ย้ำเตือนในหลายบทความที่ผ่านมาว่า องค์การอาหารและยาได้กำหนดปริมาณคอลลาเจนที่เหมาะกับการบริโภคในแต่ละวันไว้ที่

‘อยากกินคอลลาเจน แต่กลัว…จัง’ เพราะทุกวันนี้โลกแห่งการตลาดมักขับเคลื่อนด้วยคอนเทนต์มหาศาล ทำให้มีทั้งข้อมูลจริงและข้อมูลเฟคนิวส์โลดแล่นมาให้ผู้บริโภคได้รับสารกันอยู่เสมอ เราเลยขออาสรวบรวม 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการทานคอลลาเจนมาให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจและปรับความเชื่อให้ถูกต้องกันในบทความนี้ คอลลาเจนยิ่งแพงยิ่งดี! ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์คอลลาเจนในตลาดเยอะจนเลือกไม่ถูก แถมราคาก็มีตั้งแต่ถูกเว่อร์ไปจนถึงแพงใช้ได้เลยล่ะ บางคนก็เลยมีความเชื่อผิดๆ ว่า คอลลาเจนยิ่งแพงยิ่งดี ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เราต้องดูที่ประเภทของคอลลาเจน เกรดคุณภาพ ความบริสุทธิ์ สัดส่วนของส่วนประกอบ ฯลฯ เพราะงั้นคอลลาเจนดีไม่จำเป็นต้องแพง และคอลลาเจนแพงอาจไม่ใช่ของดีเสมอไป คอลลาเจนมักมีกลิ่นคาว ด้วยความที่คอลลาเจนมักถูกสกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกทำให้การสกัดออกมาเป็นอาหารเสริมมีกลิ่นคาวปลาแฝงมาบ้าง คนเลยคิดไปว่า คอลลาเจนแท้ต้องมีกลิ่นคาว แต่ความจริงแล้วไม่จริงเสมอไป เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สกัดจนกลิ่นจางแทบไม่ได้กลิ่นคาว แต่งเติมกลิ่น และวิธีอื่นที่ช่วยให้ผู้บริโภคทานได้ง่ายขึ้น คอลลาเจนช่วยเรื่องผิวขาวใสไร้สิว รู้หรือไม่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่สับสนว่า คอลลาเจนช่วยให้ผิวขาวใสไร้สิวได้ ทั้งที่ความจริงแล้วคุณสมบัติหลักไม่ใช่เรื่องของคอลลาเจน แต่เป็นเพียงการใส่ส่วนประกอบเพิ่มเติมลงไปในผลิตภัณฑ์คอลลาเจนนั้น ส่วนคุณสมบัติหลักในเรื่องของผิวจะเป็นเรื่องของการเสริมความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และริ้วรอยซะมากกว่า ทานคอลลาเจนไม่ได้ผล เพราะถูกทำลายในระบบทางเดินอาหาร แพทย์หลายคนไม่เชื่อว่าการกินคอลลาเจนจะได้ผล เพราะพวกเขาอ้างว่าโมเลกุลของคอลลาเจนนั้นใหญ่เกินกว่าที่ร่างกายจะดูดซึมได้ จึงไม่ต่างอะไรกับทานจากแหล่งอาหารโดยตรง แล้วคิดว่า คอลลาเจนจะได้ผลก็ต่อเมื่อฉีดเข้าผิวซะมากกว่า กระทั่งชาวญี่ปุ่นได้คิดค้นและจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีที่เรียกว่า Hydrolysis ที่สามารถสลายคอลลาเจนขนาดโมเลกุลใหญ่ให้เป็นโมเลกุลเล็กๆ (เฉลี่ยประมาณ 3,000-5,000) เรียกว่า Hydrolyzed Collagen หรือคอลลาเจนเปปไทด์

เรียกได้ว่า เป็นฮาวทูเลือกคอลลาเจนเวอร์ชั่น 2 ต่อจากการเลือกคอลลาเจนฉบับมือใหม่เลยก็ว่าได้ เพราะ 5 เทคนิคเลือกคอลลาเจนที่เรานำมาฝากในบทความนี้จะเป็นวิธีเลือกคอลลาเจนให้ได้ประโยชน์ตรงใจตอบโจทย์การทานขั้นสุดมาฝากกัน 1. เทียบคำเคลมคอลลาเจนกับสัดส่วนส่วนประกอบ หนึ่งในเทคนิคการเลือกคอลลาเจนให้ได้ตรงกับความต้องการที่สุดคือ อย่าดูแค่คำเคลมอย่างเดียว แต่ต้องดูคำเคลมมาเปรียบเทียบกับสัดส่วนของส่วนประกอบด้านหลักบรรจุภัณฑ์ด้วยว่า มีคำเคลมอะไรบ้าง และคำเคลมเหล่านั้นมาจากคุณสมบัติอะไรที่ใส่มาพร้อมกับคอลลาเจน มีสัดส่วนของส่วนประกอบมากพอจะให้เห็นผลได้หรือไม่ 2. ส่วนประกอบเหล่านี้กินคู่กับคอลลาเจนแล้วดี ปัจจุบันคอลลาเจนส่วนใหญ่จะมีสองแบบคือ แบบเพียวไม่ผสมส่วนประกอบอื่นและแบบผสมมาสัดส่วนตามสูตร แต่จะเลือกทานคู่กับอะไรบ้างดี เรามีตัวอย่างมาฝาก คอลลาเจนคู่กับแคลเซียม : กระดูกแข็งแรง คอลลาเจนคู่กับวิตามินซี : ผิวใสอิ่มฟู ต้านอนุมูลอิสระ เสริมการดูดซึม คอลลาเจนคู่กับวิตามินเอ : กระตุ้นการเติบโตของไฟโบรบลาสต์ให้ผิวอิ่มฟูลดเลือนริ้วรอย คอลลาเจนคู่กับวิตามินอี : สารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานคู่กับวิตามินซีได้ดี หลีกเลี่ยงรสหวานจากน้ำตาล เพราะน้ำตาลจะทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชันให้คอลลาเจนเสียหาย 3. เลือกทานคอลลาเจนเปปไทด์ ไตรเปปไทด์ หรือไดเปปไทด์ อีกหนึ่งเรื่องสำคัญคือ การมองหาคอลลาเจนที่มีขนาดเหมาะกับความต้องการของตัวเอง เพราะคอลลาเจนแต่ละประเภทมีคุณสมบัติต่างกัน ยกตัวอย่างจากคอลลาเจน 3 ประเภทที่ได้รับความนิยม ดังนี้ คอลลาเจนเปปไทด์ : โมเลกุลใหญ่ ใช้เวลาดูดซึมพอสมควร แต่ไม่ระคายเคืองท้อง คอลลาเจนไตรเปปไทด์ :

สำหรับคนที่กำลังต้องการเติมเต็มคอลลาเจนผ่านการทาน รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วคอลลาเจนไม่ได้มีเฉพาะรูปแบบอาหารเสริม แต่บางคนก็เน้นรับจากแหล่งธรรมชาติเหมือนกัน แล้วสงสัยกันมั้ยว่า ระหว่างคอลลาเจนแบบอาหารเสริมและจากแหล่งอาหารธรรมชาติต่างกันยังไงบ้าง เดี๋ยวเราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ในบทความนี้ รูปแบบของแหล่งสารอาหาร แน่นอนว่า ข้อแตกต่างแรกคงหนีไม่พ้นรูปแบบของแหล่งอาหารที่รับเข้าร่างกาย โดยในส่วนของอาหารเสริมจะมาใน 2-3 รูปแบบ ดังนี้ ผง : เราจะเห็นรูปแบบนี้บ่อยสุด เพราะชงกับเครื่องดื่มแล้วละลายดูดซึมเข้าร่างกายง่าย เม็ด : สะดวกและทานง่าย แต่เพิ่มภาระการย่อยมากขึ้น เหลว : ดูดซึมง่าย พร้อมทาน แต่ก็ต้องระวังการเสื่อมสภาพด้วยเหมือนกัน ส่วนอาหารจากแหล่งธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่า เราสนใจจะเลือกทานอาหารอะไร เช่น ในอาหารจำ พวก ปลาทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วหลากสี พืชผักใบเขียว เห็ดชนิดต่างๆ ผักผลไม้สีแดงส้ม เอ็นหมู เอ็นวัว และกระดูกอ่อน เป็นต้น แต่แนะนำให้เลือกอาหารที่มีงานวิจัยหรือข้อมูลน่าเชื่อถือรับรองเพื่อให้วางแผนการรับสารคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเภทของสารคอลลาเจน ด้วยความที่อาหารเสริมคอลลาเจนส่วนใหญ่จะผ่านการสกัดกรดอะมิโนให้มี 20 ชนิดขึ้นไปมาเกาะเกี่ยวกันให้สามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่ายและครบกับที่ร่างกายต้องการ ขณะที่คอลลาเจนจากแหล่งอาหารธรรมชาติที่เราทานเข้าไปมักจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะถูกดูดซึมได้ในทางเดินอาหาร แต่จะถูกย่อยให้เป็นกรดอะมิโนก่อนดูดซึม ทำให้มีประสิทธิภาพในการบำรุงน้อยมาก ความสะดวกในการทาน อีกหนึ่งความแตกต่างของคอลลาเจนแบบอาหารเสริม vs

     การทานอาหารเสริมจำเป็นจะต้องทานให้ถูกวิธี เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของความปลอดภัยในระยะยาว แต่ยังส่งผลถึงผลลัพธ์ที่จะเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด โดยเฉพาะ ‘คอลลาเจน’ ที่จำเป็นต้องมีเทคนิคการทานไม่เหมือนอาหารเสริมรูปแบบอื่น บทความนี้เลยรวบรวม 5 วิธีทานคอลลาเจนที่ถูกต้องและเห็นผลที่สุด 1. ทานคอลลาเจนตอนท้องว่าง           ข้อแรกที่ควรรู้คือ การทานคอลลาเจนควรทานในช่วงที่ท้องว่าง ช่วงก่อนนอน หรือหลังทานอาหารไปแล้ว 3 – 4 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้เต็มที่ ทั้งในเรื่องฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนสึกหรอ และดึงเอาสารไปใช้ได้เต็มที่ อีกหนึ่งทริคดีๆ ที่อยากแนะนำคือ ควรทานอาหารเสริมให้เป็นเวลา เมื่อเลือกเวลาไหนก็ควรทานเวลานั้นเป็นประจำ ไม่ใช่เดี๋ยวนึกขึ้นได้ก็ค่อยทานเวลานี้ๆๆ เปลี่ยนไปเรื่อย จะทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร 2. ดื่มน้ำตามมากๆ          หลังจากได้เวลาทานคอลลาเจนเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาจะทานคอลลาเจนเรียบร้อยอย่าลืมดื่มน้ำตามปริมาณมากพอ เพื่อให้คอลลาเจนที่ชงละลายน้ำได้ดีให้คอลลาเจนมีโมเลกุลลดลงเสริมการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ทานคอลลาเจนคู่กับวิตามินซี          เชื่อว่า คนที่ทานอาหารเสริมส่วนใหญ่จะไม่ทานแค่ตัวเดียวแน่ๆ เพราะงั้นการทานคอลลาเจนที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ การทานควบคู่กับวิตามินซีอาจจะเป็น

อยากเริ่มต้นทานคอลลาเจน แต่ไม่รู้จะเลือกซื้ออาหารเสริมคอลลาเจนอย่างไรให้ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของสุขภาพ เพราะในตลาดมีผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเยอะจนแทบล้นตลาด บทความนี้เลยขอมาบอกต่อเคล็ด(ไม่)ลับ หากยังไม่เคย ทานคอลลาเจนควรเลือกยังไงบ้าง?     1. ทำความเข้าใจคุณสมบัติของคอลลาเจน ไม่อยากโดนหลอกจากการขายฝันด้วยคำเคบมในโฆษณาต้องรู้ก่อนว่า คอลลาเจนสามารถช่วยอะไรได้บ้าง เพื่อไม่ให้โดนหลอกจากทางแบรนด์ที่อาจแฝงความไม่จริงใจเข้ามาหาประโยชน์มากกว่าให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภค โดยหลักแล้วคือการเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสังเคราะห์คอลลาเจน ถ้าเน้นผิวจะชุ่มชื้นอิ่มฟูดูอ่อนเยาว์ ถ้าเป็นกระดูกอ่อนหรือมวลกระดูกจะเสริมความแข็งแรงให้แกร่งขึ้น ฯลฯ อะไรที่เกินจริงก็จะได้ถูกตัดความน่าเชื่อถือและตัดตัวเลือกได้ง่ายขึ้น   2. เลือกคอลลาเจนให้ถูกชนิด เพราะคอลลาเจนไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว แต่ยังแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหรือเรียกกันว่า ไทป์ ซึ่งจำเป็นต้องแยกย่อยให้ถูกชนิด เพื่อนำไปบำรุงได้ถูกจุด ได้แก่ คอลลาเจน type 1 : ส่วนประกอบของผิวหนัง เล็บ และเส้นผม คอลลาเจน type 2 : พบตามไขข้อ และกระดูกอ่อน คอลลาเจน type 3 : พบมากในกล้ามเนื้อ เพราะงั้นหากมือใหม่จะเลือกคอลลาเจน อย่าลืมดูตามความต้องการ หากต้องการใช้เพื่อบำรุงผิว ผม เล็บ ควรเน้นเลือกบริโภคคอลลาเจนที่ใส่กลุ่มชนิดที่ 1 เป็นหลัก

รู้หรือไม่? ‘คอลลาเจน’ ที่เราเรียกกันจนติดปาก ไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่ยังแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายไทป์ เพื่อให้ทุกคนตัดสินใจเลือกได้ตรงใจตอบโจทย์กับสุขภาพมากขึ้น บทความนี้เลยขอมาเปรียบเทียบคอลลาเจน 3 ไทป์ให้รู้ชัด ทั้งคอลลาเจนเปปไทด์ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ และ คอลลาเจนไดเปปไทด์ ให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักและเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนกัน คอลลาเจน คืออะไร และมีกี่ประเภท คอลลาเจน คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผ่านการสังเคราะห์อะมิโนจนมีลักษณะยึดเกาะตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ เช่น กระดูกอ่อน เส้นผม กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ฯลฯ เมื่อมีอายุมากขึ้นก็จะสามารถผลิตคอลลาเจนได้ลดลง เลยเกิดเป็นอาหารเสริมคอลลาเจนที่มีหลากหลายประเภท ปัจจุบันค้นพบกว่า 28 ประเภท แตกต่างกันตามวิธีการรวมตัวกันของโมเลกุล โดยหลักแล้วจะได้มีคอลลาเจนอยู่ 5 ไทป์ที่สำคัญ คือ Type I. : 90% ของคอลลาเจนในร่างกาย พบได้ตามผิวหนัง กระดูก และเส้นเอ็น Type II. : พบในกระดูกอ่อนซัพพอร์ตตามข้อต่อ Type III. : พบในกล้ามเนื้อ หลอดเลือดแดง

เมื่ออายุมากขึ้นจนเกิดสัญญาณบริเวณข้อเข่าเจ็บแปล๊บดังก๊อกแก๊ก เรียกง่ายๆ ว่า ‘ข้อเข่าเสื่อม’ แต่อยากลองเริ่มต้นดูแลตัวเองด้วยอาหารการกินก่อนจะไปถึงขั้นรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด ฉีดสารน้ำหล่อเลี้ยง ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ฯลฯ อาจลองตัดสินใจมองหาอาหารเสริมระหว่างคอลลาเจนหรือแคลเซียม แต่ควรเลือกทานอะไรดีระหว่างคอลลาเจนหรือแคลเซียม มาดูกัน ‘ข้อเข่าเสื่อม’ คืออะไร ข้อเข่าเสื่อม คือ โรคที่เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่า กระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อมีการสึกหรอและเสื่อมลงตามอายุ เมื่อไม่มีผิวกระดูกอ่อนมาห่อหุ้ม เนื้อกระดูกจึงมีการชนกันขณะรับน้ำหนัก จึงทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด โดยจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ หัวเข่าก็จะผิดรูป ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในระยะยาวกลายเป็นปัญหาเรื้อรังแก้ได้ยากและกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันในอนาคต ข้อเข่าเสื่อม ทานอะไรดีระหว่างคอลลาเจนและแคลเซียม ปกติแล้วปัญหาข้อเข่าเสื่อมมักเกิดจากอายุมากขึ้นและการใข้งานจนร่างกายเสื่อมถอย หรือบางทีก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เพศ กรรมพันธุ์ น้ำหนักตัว ฯลฯ ทำให้ข้อเข่าเสื่อมมีอาการหนักมากขึ้น แต่ควรจะทานอะไรดีระหว่างคอลลาเจนและแคลเซียม มาไขคำตอบได้ในส่วนนี้        คอลลาเจน : หนึ่งในอาหารเสริมที่ถูกหยิบมาใช้บรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อมมากที่สุดก็คือ คอลลาเจน เพราะมีงานวิจัยรองรับหลายฉบับยืนยันว่า คอลลาเจนสามารถช่วยลดอาการข้อเข่าเสื่อมได้ เช่น การทบทวนงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์บน EPUB ในปี 2018 พบว่า คอลลาเจนมีประสิทธิภาพในการทำให้อาการข้อเข่าเสื่อม